Dark Tourism การท่องเที่ยวที่หลายคนไม่เข้าใจ

Dark Tourism การท่องเที่ยวที่หลายคนไม่เข้าใจ

Dark Tourism การท่องเที่ยวที่หลายคนไม่เข้าใจ

Dark Tourism การท่องเที่ยวไปในสถานที่ที่เกิดหายนะและโศกนาฏกรรม รวมถึงสถานที่ที่เคยเกิดภัยพิบัติทางธรรมชาติ และจากฝีมือมนุษย์เอง เป็นการท่องเที่ยวประเภทหนึ่งที่ได้รับความนิยมไม่แพ้การท่องเที่ยวแบบอื่น โดยสถานที่ที่จัดอยู่ในการท่องเที่ยวประเภทนี้ มีหลากหลายมากมายกระจายไปทั่วมุมโลก ซึ่งแน่นอนค่ะ ประเทศไทยบ้านเราที่ขึ้นชื่อได้ว่าเป็นประเทศแห่งการท่องเที่ยวนั้น ก็มีสถานที่ท่องเที่ยวแบบ Dark Tourism เช่นกัน แต่ก่อนอื่นมาทำความเข้าใจเกี่ยวกับการท่องเที่ยวประเภทนี้กันก่อนค่ะ

Dark Tourism คือ อะไร

Dark Tourism คือ การท่องเที่ยวไปในสถานที่ที่เกิดหายนะและโศกนาฏกรรมของมวลมนุษยชาติ ชมสถานที่ต่างๆในโลกของที่มีความเกี่ยวข้องกับความตาย ไม่ว่าจะเป็นความโหดร้ายที่เกิดจากมนุษย์เข่นฆ่ากันเองอย่างการฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ การก่อการร้าย และการทำสงคราม เป็นต้น

Dark Tourism Destinations

เเหล่งท่องเที่ยวทางโศกนาฏกรรมที่ได้รับความนิยมมีอยู่หลายที่ทั่วโลก ซึ่งไม่ได้มีเพียงแค่สถานที่ที่เคยเกิดโศกนาฏกรรมเท่านั้น แต่รวมถึง สุสาน ด้วยเช่นกัน อย่างเช่น สุสาน High Gate ในลอนดอน และสุสาน Pere Lachaise ในกรุงปารีส ซึ่งเเต่ละที่มีประวัติศาสตร์เเละเรื่องราวให้เราได้เรียนรู้ต่างกันไป 

  1. Auschwitz Concentration Camps ค่ายกักกันที่ชาวเยอรมันใช้ในช่วงสงครามโลกครั้งที่สอง เเละเป็นสถานที่ชาวยิวนับล้านคนถูกฆ่าตายอย่างทรมานที่นี่ ภายในค่ายจัดแสดงหลักฐานจริง อาทิ เส้นผมและรองเท้าของเหยื่อชาวยิวกองสูงท่วมหัว กระป๋องแก๊สพิษที่ใช้สังหาร ซึ่งนักท่องเที่ยวสามารถเดินชมได้ทั้งภายในอาคารกักกัน สนามยิงเป้า และห้องรมแก๊ส
  2. Aokigahara Suicide Forest ป่ามรณะฮาโอกิงาฮาระ สถานที่ที่คนนิยมฆ่าตัวตายมากที่สุดในโลก เป็นป่าบริเวณเชิงภูเขาฟูจิด้านตะวันตกเฉียงเหนือ ในประเทศญี่ปุ่น นับตั้งแต่ ค.ศ. 1950 เป็นต้นมา พบศพผู้เสียชีวิตในป่าแห่งนี้มากกว่า 500 คน เฉลี่ยแล้วมีผู้ฆ่าตัวตายในป่าแห่งนี้ประมาณปีละ 30 ราย
  3. Museum of Holocaust พิพิธภัณฑ์สังหารหมู่ จัดแสดงนิทรรศการแสดงเรื่องราวการฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ชาวยิวในสมัยสงครามโลกครั้งที่ 2 ผ่านสื่อต่าง ๆ ทั้งภาพยนตร์ ภาพถ่าย ข้าวของ เครื่องใช้ ฯลฯ โดยบอกเล่าตั้งแต่แนวคิดไปจนถึงการปฏิบัติการขั้นสุดท้าย ตอกย้ำให้เห็นถึงความโหดร้ายของสงครามและเป็นเครื่องย้ำเตือนไม่ให้ประวัติศาสตร์ซ้ำรอย
  4. Hashima เกาะฮาชิมะ เกาะแห่งนี้เคยเป็นเหมืองถ่านหินและยังใช้เป็นที่คุมขังและทำงานของเชลยสงครามชาวจีนและเกาหลีในช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2 ตั้งอยู่ที่จังหวัดนางาซากิของประเทศญี่ปุ่น บนเกาะร้างแห่งนี้มีเหตุการณ์ประหลาดเกิดขึ้นมากมาย ได้รับการเผยแพร่เนื่องจากในระหว่างการถ่ายทำภาพยนตร์เรื่อง Battle Royale และมีเรื่องทำให้ต้องถึงกับหยุดการถ่ายทำไปหลายวันคือ เหตุการณ์ที่นักแสดงหญิงคนหนึ่งถูกสิ่งเหนือธรรมชาติเข้าครอบงำ โดยเธอบอกว่า “ที่นี่คือที่ของเธอและเป็นที่เต็มไปด้วยวิญญาณอาฆาต”
  5. โรงไฟฟ้านิวเคลียร์เชอร์โนบิล อุบัติเหตุแกนปฏิกรณ์นิวเคลียร์หมายเลข 4 ของโรงไฟฟ้านิวเคลียร์เชอร์โนบิล ซึ่งตั้งอยู่ใกล้เมืองพรีเพียต (Pripyat) ประเทศยูเครนเมื่อปีค.ศ.1986 ทำให้ประชาชนกว่า 300,000 คนต้องอพยพฉุกเฉินและเมืองพรีเพียตได้กลายเป็นเมืองร้างนับแต่นั้นมา ปัจจุบัน นักท่องเที่ยวสามารถเข้าไปเยี่ยมชมบรรยากาศในเมืองพรีเพียตได้เป็นระยะเวลาสั้น ๆ โดยต้องเซ็นเอกสารรับทราบข้อปฏิบัติและปฏิบัติตามอย่างเคร่งครัด โดยไม่สามารถแม้แต่จะวางของบนพื้นได้เนื่องจากอาจปนเปื้อนกัมมันตภาพรังสีนั่นเอง

จะเห็นได้ว่า Dark Tourism ไม่ได้จำกัดอยู่ที่สถานที่เท่านั้น แต่เป็นบรรยากาศ และประวัติศาสตร์ที่เคยเกิดขึ้น การที่นักท่องเที่ยวอยากมาเข้าชมนั้น ก็เพื่อที่จะมาสัมผัสบรรยาจริงๆที่หาไม่ได้จากในหนังสือ หรือจอทีวี ส่งผลทำให้ปัจจุบันนี้การท่องเที่ยวมีความหลากหลายมากขึ้นนั่นเอง

ติดตามข่าวสารเพิ่มเติมได้ที่ QuotesAboutSmile และ Keywordsfun